แชมป์ฟุตบอลยูโร 2020 ครั้งนี้กลายเป็นของทีมชาติอิตาลีที่มีความนิ่งเหนือกว่าทีมชาติอังกฤษ สามารถเอาชนะการดวลจุดโทษในสกอร์ 3-2 คว้าแชมป์ยูโรครั้งที่สองของฟุตบอลอิตาลีได้สำเร็จ เป็นการอคอยอย่างยาวนานถึง 53 ปีนับตั้งแต่ปี 1968 ส่วนทางด้านอังกฤษในทัวร์นาเมนท์นี้ก็ถือว่ามาไกลได้เช่นกัน สามารถสร้างประวัติศาสตร์เข้ามาในรอบชิงในรายการยูโรเป็นครั้งแรก และเป็นการรอคอยการชิงแชมป์ระดับเมเจอร์ยาวนานถึง 55 ปี นับตั้งแต่อังกฤษคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกในปี 1966
อย่างไรก็ตามสภาพทีมของทั้งสองทีมไม่ได้มีปัญหาอะไรมาก เรียกได้ว่าจัดเต็มกันทั้งสองทีมเพื่อถ้วยแชมป์ที่รออยู่ เข้าเรื่องแผนระบบของทีมชาติอังกฤษมาในรูปแบบ 3-4-2-1 กับแผงหลังสามตัวผู้เล่น ได้แก่ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ , จอห์น สโตนส์ , ไคล์ วอล์คเกอร์ ช่วงตอนที่อังกฤษขึ้นนำจนก่อนที่จะตีเสมอ ทั้งสามหนุ่มจากแมนเชสเเตอร์เล่นกันได้อย่างเข้าขาอย่างกับเล่นด้วยกันมานาน สร้างกำแพงเกมรับได้อย่างแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก
ทางฝั่งของอิตาลีก็ยังใช้ระบบเดิม 4-3-3 และยังใช้ตัวผู้เล่นชุดเดิมที่ปราบทีมชาติสเปน โดยมีคู่เซนเตอร์จอมเก๋าอย่าง ลีโอนาร์โด โบนุชชี่ และ จอร์โจ คิเอลลินี่ ที่จับมือกันประสานงานกันมาอย่างยาวนานทั้งระดับสโมสรยูเวนตุสกับทีมชาติอิตาลี สามารถฝากความหวังและไว้ใจได้อย่างแน่นอน ซึ่งเกมนี้ทั้งสองต้านเกมรุกของอังกฤษได้ด้วยจริงๆ และโบนุชชี่ก็ยังทำประตูตีเสมอให้ทีมอีกด้วย
ตามด้วยแผงมิดฟิลด์ของอิตาลี ต้องขอชื่นชมการประสานงานที่ลงตัวระหว่าง จอร์จินโญ่ กับ มาร์โก แวร์รัตติ ที่ใช้ทักษะการจ่ายบอลและการเอาตัวรอดในแดนกลางได้อย่างเหนือชั้นตลอดทัวร์นาเมนท์ฟุตบอลยูโร 2020 ได้อย่างสมบูรณ์แบบจนพาอิตาลีคว้าชัยได้ทุกเกมการแข่งขัน
ส่วนทางด้านกองกลางของอังกฤษยังคงใช้ ดีแคลน ไรซ์ กับ คัลวิน ฟิลลิปส์ ก็ถือว่าพอใช้ได้แต่ก็ยังไม่สามารถมีทีเด็ดการผ่านบอลสวยๆ ให้เพื่อนเข้าไปทำประตูอย่างสม่ำเสมอ แต่ถ้าพูดถึงวิงแบ็คทั้งสองข้างของอังกฤษ ต้องขอชื่นชมความขยันเติมเกมจนนำพาไปสู่ประตูแรกของ ลุค ชอว์ ทางด้านฝั่งกราบซ้าย
สุดท้ายมาพูดถึงเกมรุกของทั้งสองทีมว่ามีความแตกต่างอยู่พอสมควร เพราะอังกฤษไม่ได้มีเกมรุกที่น่ากลัวเท่ากับอิตาลีเลย หรืออาจจะเป็นเพราะขึ้นนำเร็วถึงได้พากันตั้งรับตลอดทั้งเกม ส่วนทางอิตาลีนั้นด้วยความที่ต้องการประตูตีเสมอ โดยเฉพาะ เฟเดริโก เคียซ่า ที่ระเบิดฟอร์มการเล่นได้อย่างสุดยอดในฟุตบอลยูโร 2020 และยังมีส่วนสำคัญในการพาอิตาลีเข้ามาถึงในรอบชิงได้สำเร็จ
มาพูดถึงการวางตัวเลือกในการดวลจุดโทษ แน่นอนว่าทุกคนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า แกเร็ธ เซาธ์เกต ได้ทำเรื่องที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ เพราะการที่ส่งผู้เล่นตัวสำรองในนาทีที่ 120 เป๊ะเพื่อลงมายิงจุดโทษนั้นต่างก็มองว่าส่งมาช้าเกินไป และเหมือนเป็นการสร้างความกดดันให้นักเตะแบบอ้อมๆ จนยิงจุดโทษพลาดไปในที่สุด
และที่สำคัญการให้เด็กวัย 19 ปี อย่าง บูคาโย่ ซาก้า เป็นตัวเลือกในการยิงจุดโทษเป็นคนสุดท้ายในเกมที่ใหญ่ขนาดนี้ถือว่าเป็นอะไรที่หนักอึ้งสุดๆ ในขณะที่มีนักเตะประสบการณ์สูงหลายคนอยู่ในทีมแต่กลับไม่เลือก ทำให้อังกฤษต้องชวดแชมป์ ส่งผลให้อิตาลีคว้าแชมป์ฟุตบอลยูโร 2020 ได้อย่างเพอร์เฟค